ประวัติ ของ โฮโซกาวะ กราเชีย

ฮิเดะโยะชิได้บูรณะปราสาทโอซะกะ (คฤหาสน์โฮโซะกะวะอยู่ทางใต้ของปราสาท)

โฮะโซะกะวะ กราเชีย เดิมมีชื่อว่า อะเกะชิ ทะมะ เป็นบุตรสาวคนที่สามของ อะเกะชิ มิซึฮิเดะ กับนางซุมะกิ ฮิโระโกะ (ญี่ปุ่น: 妻木煕子 โรมาจิ: Sumaki Hiroko) ภรรยาเอกของมิซึฮิเดะ ใน พ.ศ. 2125 เมื่ออายุเพียงสิบห้าปี ทะมะได้สมรสกับโฮะโซะกะวะ ทะดะโอะกิ (ญี่ปุ่น: 細川忠興 โรมาจิ: Hosokawa Tadaoki) ไดเมียวแห่งแคว้นทังโงะ (ญี่ปุ่น: 丹後 โรมาจิ: Tango) ทางตอนเหนือของนครเกียวโตในปัจจุบัน และอีกเพียง 6 เดือนต่อมา อะเกะชิ มิซึฮิเดะ บิดาของนางทะมะได้ทำการล้อมฮนโนจิและสังหารโอะดะ โนะบุนะงะผู้เป็นนายของตน มิซึฮิเดะครองอำนาจอยู่เพียงสิบสองวัน ฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ ก็ได้ยกทัพมาทำการแก้แค้นให้แก่โนะบุนะงะ มิซึฮิเดะบิดาของนางทะมะเสียชีวิตในที่รบ

นอกจากจะสูญเสียบิดาแล้ว นางทะมะยังถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นธิดาของผู้ทรยศ ทะดะโอะกิสามีของนางทะมะซึ่งทั้งรังเกียจและสงสารนาง จึงได้ส่งนางทะมะไปเก็บตัวไว้ในกระท่อมบนเขาชื่อว่ามิโดะโนะ (ญี่ปุ่น: 味土野 โรมาจิ: Midono) ในแคว้นทังโงะ เป็นเวลาสองปี จนกระทั่งพ.ศ. 2127 เมื่อการเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว ทะดะโอะกิจึงย้ายนางทะมะไปกักขังไว้ที่คฤหาสน์ตระกูลโฮะโซะกะวะในเมืองโอซะกะ

สูสานของโฮะโซะกะวะ กราเชีย โฮะโซะกะวะ ทะดะโอะกิ

ในระหว่างที่เก็บตัวอยู่ในเมืองโอซะกะนั้นเอง ข้ารับใช้ของนางทะมะชื่อว่า นางคิโยะฮะระ มาเรีย (ญี่ปุ่น: 清原マリア โรมาจิ: Kiyohara Maria) ผู้นับถือคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก ได้นำนางทะมะให้รู้จักกับคริสต์ศาสนา และจัดแจงให้นางทะมะได้มีโอกาสฟังธรรมจาก ทะกะยะมะ อุกง (ญี่ปุ่น: 高山右近 โรมาจิ: Takayama Ukon) ไดเมียวผู้ศรัทธาในคริสต์ศาสนา นางทะมะได้ยึดถือคริสต์ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ในพ.ศ. 2130 โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ได้ประกาศกฎหมายยับยั้งการเผยแผ่คริสต์ศาสนา เป็นเหตุให้นางทะมะเกรงว่าตนจะไม่มีโอกาสได้ประกอบพิธีศีลจุ่มเข้ารีต เนื่องจากนางทะมะไม่สามารถออกจากบ้านไปพบบาทหลวงได้ นางมาเรียจึงเป็นผู้ประกอบพิธีศีลจุ่ม (Baptism) ชำระบาปให้แก่นางทะมะ และได้รับชื่อใหม่ว่า "กราเชีย" (Gracia) หรือออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า "กะระชะ" (ญี่ปุ่น: ガラシャ โรมาจิ: Karasha)

ใน พ.ศ. 2153 หลังจากที่โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ถึงแก่อนิจกรรม ความขัดแย้งระหว่างอิชิดะ มิสึนะริ กับ โทะกุงะวะ อิเอะยะซุก็เริ่มขึ้น อิเอะยะซุต้องการกองทัพ 1,600 คนจากทะดะโอะกิ ส่วนฝ่ายมิสึนะริประจำทัพที่ปราสาทโอะซะกะและรวบรวมพลกำลังพลเพื่อเตรียมการรบกับอิเอะยะซุ ทะดะโอะกิผู้เป็นสามีของกราเชียให้การสนับสนุนฝ่ายอิเอะยะซุ เมื่อสงครามเซะกิงะฮะระเริ่มขึ้น อิชิดะ มิซึนะริ มีนโยบายจับบุตรและภรรยาของไดเมียวผู้สนับสนุนอิเอะยะซุไว้เป็นตัวประกัน เพื่อให้ไดเมียวเหล่านั้นหันมาให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายตน แต่ทะดะโอะกิมีคำสั่งไว้ว่า หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ให้นางกราเชียทำอัตวินิบาตกรรมตามธรรมเนียมเพื่อที่จะไม่ถูกฝ่ายมิซึนะริจับไปเป็นตัวประกัน มิฉะนั้นจะฝากฝังให้ซะมุไรข้ารับใช้ที่ชื่อว่า โอะกะซะวะ โซไซ (Ogasawara Shōsai) เป็นผู้สังหารนางกราเชีย นางกราเชียได้ปรึกษาประเด็นนี้กับผู้รู้ทางคริสต์ศาสนา ต่างกล่าวย้ำแก่นางกราเชียว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นบาปมหันต์ขัดกับหลักคริสต์ศาสนา

แม้ว่าจะขัดกับหลักคริสต์ศาสนา แต่ตามธรรมเนียมของซะมุไรญี่ปุ่นโบราณ สตรีหากจะโดนจับกุมเป็นเชลยต้องชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน เพื่อปกป้องเกียรติของตนเองและสามี นางกราเชียจึงได้ให้ โอะกะซะวะ โซไซ ใช้หอกแทงร่างกายของนางจนถึงแก่ความตายด้วยอายุ 37 ปี จากนั้นโอะกะซะวะ โซไซ จึงได้วางเพลิงเผาคฤหาสน์โฮะโซะกะวะจนวอดวายและทำการเซ็ปปุกุเสียชีวิตตามไป หลังจากเพลิงสงบลง บาทหลวงเนชชี่-โซลโด ออร์กันติโน (Gnecchi-Soldo Organtino) มิชชันนารีชาวอิตาลีเป็นผู้เก็บกระดูกของนางกราเชียไปฟังไว้ที่โบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในเมืองซะไก ปีต่อมาพ.ศ. 2154 ทะดะโอะกิผู้เป็นสามีได้ย้ายเถ้ากระดูกของนางกราเชียไปฟังไว้ยังวัดโซเซ็ง-จิ (ญี่ปุ่น: 崇禅寺 โรมาจิ: Sōzen-ji) ในเมืองโอซะกะ แต่ก็ปรากฏมีสุสานของนางกราเชียที่วัดไดโตะกุจิ (ญี่ปุ่น: 大徳寺 โรมาจิ: Daitoku-ji) ที่นครเกียวโตด้วยเช่นกัน

โฮะโซะกะวะ กราเชีย มีบุตรธิดากับโฮะโซะกะวะ ทะดะโอะกิ ผู้เป็นสามีทั้งหมดห้าคน เป็นบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคน บุตรชายคนที่สามชื่อว่า โฮะโซะกะวะ ทะดะโตะชิ (ญี่ปุ่น: 細川忠利 โรมาจิ: Hosokawa Tadatoshi) ได้รับการแต่งตั้งเป็นไดเมียวปกครองปราสาทคุมะโมะโตะในพ.ศ. 2176 และสืบเชื้อสายปกครองปราสาทคุมะโมะโตะไปตลอดสมัยเอะโดะ